จากกรณีที่ เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) ผู้อำนวยการผลิตของภาพยนตร์เรื่องท็อปกัน มาเวอริค (Top Gun: Maverick) ให้สัมภาษณ์ว่าดาวเทียมสอดแนมของจีน เปลี่ยนเส้นทางสอดแนมเพื่อมาถ่ายภาพเครื่องบินที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ Top Gun: Maverick

โดยล่าสุดเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานว่า ฮอลลีวูดไม่หวั่นถึงผลที่จะเกิดขึ้นหลังภาพยนต์ท็อปกันภาคมาเวอริค (Topgun: Maveric) ของนักแสดงและผู้กำกับมากความสามารถ ทอม ครูซ ที่ออกฉายในรอบโชว์ล่วงหน้าที่กรุงไทเป ไต้หวัน

เมื่อคนตาดีมองไปเห็นภาพธงชาติไต้หวันและญี่ปุ่นที่อยู่ด้านหลังเสื้อบอมบ์เบอร์สีดำของนักบินของตัวเอกของเรื่องคือ พีธ ‘มาเวอริค’ มิตเชล (Pete “Maverick” Mitchell)ปรากฏอยู่

เสื้อนักบินนี้เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงพ่อของกัปตันมิตเชลที่เสียชีวิต ธงชาติที่ประดับด้านหลังสื่อไปถึงการรับใช้ชาติบนเรือรบสหรัฐฯ USS Galveston CLG-3 ซึ่งมาปฎิบัติการที่ญี่ปุ่นและไต้หวันระหว่างปี 1963 – 1964 อ้างอิงข้อมูลจากเดลีเล สื่ออังกฤษ

สื่อท้องถิ่นไต้หวัน Setn กล่าวถึงบรรยากาศว่า ผู้ชมในรอบพรีเมียร์ต่างแสดงความประหลาดใจและส่งเสียงเชียร์ลั่นเมื่อได้เห็นเสื้อนักบิน โดยในรายงานกล่าวว่า การปรากฏของธงชาติไต้หวันด้านหลังเสื้อในภาพยนต์ชื่อดังระดับโลกสร้างความเต็มตื้นให้กับคนที่เข้ามาดูอย่างมาก

เดอะการ์เดียนชี้ว่า ธงชาติไต้หวันถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมจำนนและการเป็นเอกราชของไทเป โดยปักกิ่งซึ่งถือ “นโยบายจีนเดียว” และมองไต้หวันเป็นหนึ่งในดินแดนของจีนเพียงแต่ยังไม่ได้กลับมาคืนร่วมกันอีกครั้ง ขณะที่ไทเปเองพยายามมาตลอดเพื่อให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติในฐานะประเทศที่มีอธิปไตยเป็นของตัวเอง

ทั้งนี้ในภาพยนต์ตัวอย่างของมาเวอริคในครั้งแรกพบว่าได้มีการเซ็นเซอร์ธงชาติไต้หวันและธงชาติญี่ปุ่นไว้แต่นำกลับเข้ามาในการฉายรอบตัวอย่าง ซึ่งในภาพยนต์ท็อปกันภาคแรกปี 1986 กัปตันมิตเชลได้สวมเสื้อตัวนี้ซึ่งแสดงธงชาติไต้หวันและญี่ปุ่นด้านหลังอย่างชัดเจน

เดลีเมลกล่าวว่า หลังจากที่ภาพยนต์ที่ได้เริ่มต้นออกฉายในสัปดาห์นี้โดยที่สหรัฐฯเปิดฉายในช่วงสุดสัปดาห์เทศกาลวันเมโมเรียลเดย์ซึ่งเป็นวันรำลักทหารอเมริกันที่อุทิศตนในสนามรบและภาพธงชาติไต้หวันปรากฎอยู่พร้อมกับมีฉากที่ปรากฎเห็นแบบโคลส-อัปพบว่าสร้างความไม่พอใจให้กับแฟนๆภาพยนต์ในจีนแผ่นดินใหญ่เป็นอย่างมาก

ซึ่งบรรดาแฟนคลับชาวจีนออกมาแสดงความไม่พอใจผ่านทางโซเชียลมีเดียกล่าวว่า

“ดีเลย….งั้นอย่าได้เงินจากพวกเราเพราะพวกเราจะดูเวอร์ชั่นเถื่อนแทน”

ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบหันหลังกลับครั้งใหญ่จากบริษัทผู้สร้างฮอลลีวูดที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้น เดลีเมลชี้ แต่ทว่า โห ซิว ปู(Ho Siu Bu) นักวิจารณ์ภาพยนตร์ที่มีฐานอยู่ในเมืองฮ่องกงกล่าวแสดงความเห็นว่า ไม่ค่อยแปลกใจต่อความเคลื่อนไหวครั้งนี้เนื่องมาจากสตูดิโอผู้ผลิตยักษ์ใหญ่จากฮอลลีวูดมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับตลาดจีน

เดอะการต์เดียนรายงานความเห็นจากผู้วิจารณ์อีกคนซึ่งเป็นอดีตผู้สร้างชื่อดัง คริส เฟนตัน (Chris Fenton) ที่เคยออกหนังสือเกี่ยวกับฮอลลีวูดและการเซ็นเซอร์จากจีนกล่าวยืนยันว่า “ฮอลลีวูดในเวลานี้กำลังโต้กลับไป” และชี้ว่าไม่มีความจำเป็นมากพอเพื่อที่จะต้องเอาใจการเซนเซอร์ของจีนอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามจีนยังคงถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของภาพยนต์บ็อกซ์ออฟฟิศของฮอลลีวูดโดยในปีที่ผ่านมาสามารถขายบัตรจำหน่ายได้ถึง 7.3 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดการจำหน่ายรวมทั่วโลก