226 ปี คืออายุที่ประมาณการณ์ของ “ปลาคาร์พ” เจ้าของนาม “ฮานาโกะซัง” ปลาคาร์พผู้ถูกจดบันทึกว่า มีชีวิตอยู่ตั้งแต่สมัย “โทกุงาวะ

ปลาคาร์พหรือ “โค่ย” (Koi) เป็นสัญลักษณ์ของเด็กชายในประเทศญี่ปุ่น ในวันเด็ก ถ้ามีเด็กผู้ชายในบ้านกี่คน ก็จะชักธงปลาคาร์พขึ้นจำนวนตัวตามจำนวนลูกชายในบ้าน ปลาคาร์พเป็นปลาอายุยืน ถ้าเลี้ยงอย่างเหมาะสม และถือเป็นปลามงคลชนิดหนึ่งแห่งบูรพทิศ

ในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการบันทึกถึงปลาคาร์พตัวหนึ่ง ในฐานะ ปลาคาร์พที่อายุยืนที่สุดในโลก เป็นปลาคาร์พเพศเมีย สีแดงออกส้ม หรือที่วงการปลาคาร์พเรียกว่า “สีสคาเล็ต” คุณทวดปลาคาร์พตัวนี้ชื่อว่า “ฮานาโกะ” ที่แปลว่า เด็กหญิงดอกไม้ พบบันทึก ว่าเจ้า Hanako เกิดในช่วงกลางยุคของโทกุงาวะ หรือราวๆ ปี ค.ศ. 1751 และเปลี่ยนเจ้าของมาเรื่อยๆ จนถึง ดอกเตอร์ Komei Koshihara ผู้อำนวยการของวิทยาลัยสตรีนาโกย่า ซึ่งเป็นทายาทรุ่นสุดท้ายที่ได้ดูแลฮานาโกะ

ช่วงเช้าของวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ.1966 ดร.โคชิฮาระอยู่ที่สถานีวิทยุกระจายเสียง NHK เขาได้รับเชิญมาพูดคุยเพื่อเปิดเผยชีวประวัติอันน่าทึ่งของฮานาโกะ ซึ่งเป็นปลาคาร์ฟที่ถูกเลี้ยงมาตั้งแต่สมัยต้นตระกูลของเขาเมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว

ในขณะนั้นฮานาโกะมีอายุ 215 ปี มีขนาดความยาว 70 เซนติเมตร และมีน้ำหนักอยู่ที่ 7.5 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นปลาคาร์ฟที่มีขนาดใหญ่มากในสมัยนั้น มันถูกเลี้ยงเอาไว้บนหุบเขา Higashi-Shirakawa เขตคาโมะ จังหวัดกิฟุที่ครอบครัวโคชิฮาระอาศัยอยู่ และยังมีปลาคาร์ฟอีก 5 ตัว ถูกเลี้ยงรวมอยู่ด้วยกัน

ดร.โคชิฮาระ บอกว่า ฮานาโกะเกิดในปี ค.ศ.1751 เป็นปลาคาร์ฟสีแดงที่สวยงามและมีนิสัยที่ร่าเริงมาก ในทุกๆ วัน เขาจะต้องเดินไปที่บ่อปลาและเรียกชื่อของมัน ซึ่งฮานาโกะเองก็ตอบสนองด้วยการว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อกินอาหารจากมือของเขาและมักจะให้เขาลูบหัวของมันอยู่เสมอ

ดร.โคชิฮาระเชื่อว่าฮานาโกะสามารถจดจำแรงสั่นสะเทือนจากเสียงของเขาได้ ทำให้มันไม่รีรอที่จะว่ายเข้ามาหาเขาทุกครั้ง

“ผมคิดว่าความรักและเอาใจใส่ที่ตระกูลของเรามีต่อฮานาโกะคือปัจจัยที่ทำให้มันดำรงชีวิตมาจนถึงตอนนี้ และสถานที่เลี้ยงบนเชิงเขารวมถึงคุณภาพน้ำที่ดีคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ปลาคาร์ฟทุกตัวที่เลี้ยงมีอายุที่ยืนยาว”

ก่อนหน้านั้นไม่มีใครคิดว่าฮานาโกะจะมีชีวิตยืนยาวมาได้ขนาดนี้ จนกระทั่งศาสตราจารย์มาซาโยชิ ฮิโระ (Masayoshi Hiro) ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์จากวิทยาลัยสตรีนาโกย่าและเป็นเพื่อนของ ดร.โคชิฮาระได้ทำการถอดเกล็ดของฮานาโกะออกมาจาก 2 ส่วนของร่างกายเพื่อทำการพิสูจน์อายุขัยที่แท้จริง โดยใช้วิธีการนับวงปีของเกล็ดผ่านกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งเป็นวิธีการที่คล้ายกันกับการนับจำนวนวงปีของต้นไม้

“การนับวงปีของต้นไม้คือเราจะต้องตัดต้นไม้ต้นนั้นทิ้งเพื่อนับวงปีจากลำต้นที่ถูกตัด ซึ่งโชคดีที่ฮานาโกะไม่ใช่ต้นไม้ ทางเจ้าหน้าที่แค่ต้องการนำเกล็ดของมันไปพิสูจน์ แต่แม้จะเป็นแค่การถอดเกล็ด ก็ทำให้ผมลำบากใจมากจริงๆ ผมจำไม่ได้ว่าพูดคำว่าขอโทษกับฮานาโกะไปกี่ครั้ง” ดร.โคชิฮาระเล่าผ่านสถานีวิทยุ

ลักษณะของวงปีของเกล็ดจะมีบางวงที่กว้างและแคบแตกต่างกัน ซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลที่เกิดขึ้นระหว่างฤดูหนาวและฤดูร้อน ในช่วงฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น ปลาคาร์ฟจะมีการเผาผลาญที่ช้าลงและกินอาหารน้อยลงกว่าช่วงที่สภาพอากาศอุ่น

เพื่อทำให้แน่ใจว่าฮานาโกะมีอายุเกินกว่า 200 ปีจริงหรือไม่ ศาสตราจารย์ฮิโระใช้เวลาตรวจสอบเกล็ดนานกว่า 2 เดือน จนได้ข้อสรุปว่าแท้จริงแล้วมันมีอายุยืนยาวมาถึง 215 ปีนับจากวันที่นำเกล็ดไปตรวจสอบในปี ค.ศ.1966

หลังจากทราบอายุของฮานาโกะเป็นที่แน่นอนแล้ว ทำให้ทุกๆ คนตกตะลึงเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่การนับวงปีจากเกล็ดของปลาคาร์ฟอีก 5 ตัว ที่ถูกเลี้ยงในบ่อเดียวกันกับฮานาโกะ ศาตราจารย์ฮิโระใช้เวลาอีกราวหนึ่งปีจึงได้รับข้อสรุปที่น่าตื่นเต้นว่าปลาคาร์ฟอีก 5 ตัวล้วนมีอายุเกิน 100 ปี ทั้งสิ้น ไล่เรียงตั้งแต่ อาโออิ ปลาคาร์ฟสีขาวที่มีจุดสีแดงบริเวณท้อง มีอายุ 170 ปี, ชิคาระ ปลาคาร์ฟสีดำอมฟ้า มีอายุ 155 ปี, ซาโตรุ ปลาคาร์ฟสีขาวที่มีจุดสีดำด้านหลัง มีอายุ 151 ปี, ซานต้า ปลาคาร์ฟสีดำ มีอายุ 141 ปี และ ยูกิ ปลาคาร์ฟสีขาว มีอายุ 141 ปีเท่ากับซานต้า

เมื่อสอบถามไปยังนายมาซายูกิ อามาโนะ (Masayuki Amano) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ที่สถาบันวิจัยประมงปลาคาร์ฟในนิกาตะ จังหวัดที่มีการเพาะเลี้ยงปลาคาร์ฟมากที่สุดในโลกก็ให้ความเห็นว่า เขาคลุกคลีและศึกษาเรื่องรางของปลาคาร์ฟมาเป็นระยะเวลานาน ปลาคาร์ฟที่เขาเคยพบเจอมาจะมีอายุอย่างน้อยราว 50 ปี และอย่างมากประมาณ 100 ปี แต่กลับฮานาโกะเป็นอะไรที่ต่างออกไป มันน่าเหลือเชื่อมากๆ

เป็นเรื่องน่าเสียดายเมื่อ 11 ปี ต่อมา ฮานาโกะได้เสียชีวิตลงในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.1977 ด้วยวัย 226 ปี

หลังการจากไปของฮานาโกะนั้น ทางนักวิทยาศาสตร์มีความพยายามที่จะนำข้อมูลของมันไปศึกษาต่อเพื่อทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่หลากหลาย โดยหวังว่าจะเลียนแบบเซลล์ยีนและโครงสร้างนิวเคลียสของปลาคาร์ฟในโครโมโซมของมนุษย์ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถหาผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้

แม้ไม่มีใครสามารถหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า ทำไมฮานาโกะจึงมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างไม่น่าเชื่อ แต่อย่างน้อยหลักฐานจากการพิสูจน์อายุขัยผ่านเกล็ดของฮานาโกะก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า นอกจากทัวทาร่า, เต่า และวาฬออร์ก้านั้น ปลาคาร์ฟคือสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกเช่นกัน

เหตุการณ์สำคัญที่ “ฮานาโกะ” ผ่านมา

1.ฮานาโกะใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาที่แสนยาวนานในประเทศญี่ปุ่นมากว่า 4 รัชสมัย เริ่มตั้งแต่ยุคโทกูงาวะ, เมจิ, ไทโช เรื่อยมาจนถึงรัชสมัยโชว่า

2.การประกาศอิสรภาพและก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา (ระหว่างปี ค.ศ.1776-1783) ฮานาโกะเกิดก่อนที่จะมีการก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1783 ภายหลังจากการประกาศอิสรภาพและทำสงครามปฏิวัติอเมริกามาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ.1776

3.การปฏิวัติฝรั่งเศส (ระหว่างปี ค.ศ.1789-1799) หนึ่งในการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก กับการลบล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ยุคเรืองปัญญาอันก่อให้เกิดการสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยและฆราวาสนิยม

4.สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ระหว่างปี ค.ศ.1914-1918) ชนวนเหตุจากการลอบปลงพระชนม์ อาร์ช ดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ มกุฎราชกุมารแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ในขณะเสด็จเยือนกรุงซาราเจโว เมืองหลวงของแคว้นบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ทำให้จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ตัดสินใจประกาศสงครามเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 และมีการดึงหลายๆ ประเทศเข้ามาร่วมสงครามในครั้งนี้ จนสถานการณ์ลุกลามออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีประเทศอังกฤษ รัสเซีย และฝรั่งเศสเป็นแกนนำในฝ่ายที่เรียกว่ามหาอำนาจไตรภาคี และประเทศจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิเยอรมันและดินแดนอาณานิคม และจักรวรรดิออตโตมานเป็นแกนนำฝ่ายมหาอำนาจกลาง ภายหลังเป็นฝ่ายมหาอำนาจไตรภาคีที่ประกาศชัยชนะในปี ค.ศ.1918

5.สงครามโลกครั้งที่สอง (ระหว่างปี ค.ศ.1939-1945) หนึ่งในมหาสงครามที่สร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ กับการเข้าร่วมของนานาประเทศกว่า 30 ประเทศทั่วโลก ใช้กองกำลังทหารไม่น้อยกว่า 100 ล้านนาย โดยมีนาซีเยอรมัน จักรวรนดิญี่ปุ่น และราชอาณาจักรอิตาลี เป็นแกนนำฝ่ายอักษะ ด้านสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐจีน เป็นแกนนำฝ่ายสัมพันธมิตร สงครามในครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร และเป็นจุดเริ่มต้นให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นมาเป็นประเทศอภิมหาอำนาจของโลกในขณะนั้น