วานนี้ ( 21 พฤษภาคม) นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อกังวลเกี่ยวกับปริมาณวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่ฉีดแต่ละครั้งว่าจะไม่ครบปริมาณตามที่กำหนดไว้ นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า ปริมาณการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าต่อครั้งต้อง 0.5 มิลลิลิตร การผลิตวัคซีนที่มีการบรรจุใน 1 ขวด แบบมีหลายโดสนั้น ปริมาณวัคซีนที่บรรจุในขวดจะบรรจุเกินจากที่ฉลากกำหนด เพื่อป้องกันการสูญเสียวัคซีนไปจากการดูดวัคซีนจากขวดในแต่ละครั้ง
.
กรณีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าได้ขึ้นทะเบียนกับ อย. ไว้ คือ 10 โดส โดยระบุบนฉลาก 5 มิลลิลิตรต่อขวด และบริษัทผู้ผลิตได้บรรจุวัคซีนไว้จริงที่ 6.5 มิลลิลิตร โดยเป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกสถานที่ผลิตของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ที่ได้แจ้งไว้กับ อย.
.
ดังนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่ปริมาณการฉีดต้องเป็นไปตามปริมาณที่กำหนด คือ ครั้งละ 0.5 มิลลิลิตร เพื่อให้ได้ระดับวัคซีนตามมาตรฐานและเกิดประสิทธิภาพ หากมีวัคซีนที่เหลืออยู่ในขวดจากการบรรจุเกินนี้ องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับว่าสามารถนำไปใช้ได้ และ อย. ไม่ได้มีข้อห้ามแต่อย่างใด ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่าไม่ควรนำวัคซีนที่เหลือในแต่ละขวดมารวมกันแล้วใช้
.
เลขาธิการ อย. กล่าวว่า การฉีดวัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 ได้ แต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้คืออาการข้างเคียง ซึ่งวัคซีนทุกรายการมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ไม่มากก็น้อย เช่น ปวด บวม แดง ร้อน คัน บริเวณที่ฉีด มีไข้ ปวดศีรษะ อาการปวดเมื่อย ไม่สบายตัว ในการรับวัคซีนจึงต้องสังเกตอาการหลังการฉีด และสามารถดูแลเบื้องต้นได้โดยการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำในปริมาณมาก หรือกินยาพาราเซตามอล ลดไข้ได้
.
ขอให้ประชาชนมั่นใจในวัคซีนที่รัฐจัดสรรและนำมาบริการประชาชน ดังนั้น อย. จึงขอเชิญชวนประชาชนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ