แม้เทียบคดีวอร์เตอร์เกต ก็ยังเชื่อว่าฉาวเท่าหรือฉาวมากกว่า สำหรับ “คดีลูวินสกี้” ที่เขย่าบัลลังก์อเมริกา และอื้อฉาวที่สุดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นใน “ทำเนียบขาว” อันเป็นที่พำนักและทำงานของผู้นำสูงสุดของสหรัฐอเมริกา

วันนี้ (23 ก.ค.) เป็นวันคล้ายวันเกิดของ โมนิก้า ลูวินสกี้ หญิงสาวจากซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย ผู้จบการศึกษาด้านจิตวิทยาในระดับวิทยาลัยในโอเรก้อน จากนั้นก็ย้ายเข้ามาอยู่ในวอชิงตัน ดีซี เธอโชคดีกว่าสตรีคนอื่นในแง่สถานฝึกงาน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับเลือกให้ฝึกงานในทำเนียบขาว

โมนิก้าในวัน 22 ปี สดใสน่ารักและอ่อนเยาว์ในสายตาประธานาธิบดีหนุ่มวัย 49 ปี บิล คลินตัน ชายผู้ที่อเมริกาได้เลือกมาด้วยคะแนนนิยมสูงยิ่ง และฝากความหวัง ความฝันของอเมริกาไว้ในมือคนหนุ่มอย่างเขา

บิล คลินตัน เข้าพิธีสาบานตนเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 42 ระหว่างค.ศ. 1993 – ค.ศ. 2001 ด้วยอายุเพียง 46 ปี นับเป็นประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดเมื่อเข้ารับตำแหน่งเป็นอันดับที่สามของอเมริกา ถูกขนานนามว่าเป็นดีโมแครตรุ่นใหม่ (New Democrat) เขาจบการศึกษาปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ จากนั้นได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดทางด้านการเมืองการปกครอง หลังกลับมาจากอ็อกซ์ฟอ์ด คลินตันเข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนกฎหมาย มหาวิทยาลัยเยล จบการศึกษาปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเยลในปี ค.ศ. 1973 และที่เยลนี้เอง เขาได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นที่กลายมาเป็นภรรยาในอนาคต คือ นางฮิลลารี ร็อดแฮม (Hillary Rodham Clinton)

คลินตันสอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยอาร์คันซอ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่วงการการเมือง เขาได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอเมื่อ ค.ศ. 1978 และยังเป็นผู้ว่าการรัฐที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น

นโยบาย ทาทางเลือกที่สาม เดินสายกลาง (centrist Third Way) ในการบริหารประเทศ ทำให้เขาได้รับคะแนนนิยมจากทุกฝ่าย เขาเดินหน้าด้านการค้า ลงนามในสัญญาข้อตกลงการค้าเสรีแห่งอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement – NAFTA) นโยบายของเขาเอื้อต่อเพศที่สาม มีการผลักดันให้ฝ่ายทหารยอมรับเกย์ เขาใช้นโยบาย “ไม่ต้องถาม ไม่ต้องตอบ” (Don’t ask, don’t tell) นับเป็นการพบครึ่งทางสำหรับทหารที่เป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน เป็นการช่องโหว่กฎหมายของการเป็นทหารที่ยุคนั้นที่ยังไม่อนุญาตสำหรับเกย์ แต่หลักเกณฑ์ของคลินตันทำให้เกย์ก็ไม่ต้องพูด และฝ่ายอื่นๆก็ไม่ต้องนำมาเป็นประเด็น ถือว่าเป็นก้าวสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่การทหารยุคปัจจุบันยอมรับเกย์เข้าเป็นทหารได้อย่างเปิดเผย

ชื่อบิล คลินตัน หอมหวาน สดใหม่ ไม่คร่ำครึ ประนีประนอมเก่ง บริหารงานดี มีไหวพริบ ครอบครัวอบอุ่น ภรรยาเก่งกาจ การศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายเช่นกัน ฮิลลารี คลินตัน ช่วยงานสามีได้อย่างดี คร่ำหวอดในสนามการเมือง รู้ที่ทางของตัวเอง ทำอะไรไม่ขาดและไม่เกิน สนับสนุนสามีได้อย่างไม่ขัดตา ทั้งคู่มีลูกสาวน่ารัก 1 คน ภาพแห่งอเมริกันดรีมที่เป็นจริงปรากฎประจักษ์ต่อสายตาคนทั้งประเทศและทั้งโลก

คลินตันได้ชื่อว่าเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศทรงอำนาจ ที่ไม่ถือตัวและเข้าถึงง่าย ทั้งในประเทศและนอกประเทศ บ่อยครั้งที่เขาเดินทางไปประชุมในหลายประเทศ บางประเทศเป็นประเทศโลกที่สาม เมื่อถึงโรงแรม ผู้นำส่วนใหญ่จะพักผ่อน ทำงาน หรือสำเริงสำราญไปกับการดูแลอย่าง VVIP ของโรงแรมนั้นๆ แต่สิ่งที่คลินตันทำคือ เดินไปทักทาย ขอบคุณ พูดคุย ตั้งแต่ผู้จัดการโรงแรม บริการ ดอร์แมน ไปยันคนทำความสะอาดห้องน้ำ ถ่ายรูปกับพวกเขา ใช้เวลาคุยกันเป็นเวลานานๆ แบบนี้ใครจะไม่รัก

อเมริกาแสนภูมิใจในตัวผู้นำคนนี้ยิ่ง

เขาได้รับเลือกตั้งถึง 2 สมัย คือในปี ค.ศ. 1992 และ 1996

คลินตันในวันนั้นคือความหวังของอเมริกาทั้งประเทศ แต่จู่ๆ ภาพฝันอันงดงามก็พลันแตกสลาย…ณ ห้องรูปไข่ ภายในทำเนียบขาวอันศักดิ์สิทธิในประวัติศาสตร์อเมริกา

 

“ห้องรูปไข่” ในที่นี้ คือห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) เป็นห้องทำงานอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1909 ในสมัยอดีตประธานาธิบดีวิลเลียม เอช. ทัฟต์ บริเวณส่วนต่อขยาย บริเวณปีกตะวันตกของทำเนียบขาว

ห้องทำงานรูปไข่ มีลักษณะเป็นรูปวงรี มีขนาดด้านยาว 35 ฟุต 10 นิ้ว (10.9 เมตร) ด้านกว้าง 29 ฟุต (8.8 เมตร) เพดานสูง 18 ฟุต 6 นิ้ว (5.6 เมตร) ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก ผสมผสานกับนีโอคลาสสิก

แต่ใครจะไปนึก ว่าดาวจรัสแสงแห่งทำเนียบขาวอย่างคลินตัน จะทำให้มันกลายเป็น “ห้องลูบไข่” ตามแสลงของสื่อไทย เพราะ “อารมณ์ทางเพศที่มิอาจจะควบคุมได้”

ปี ค.ศ. 1998 โมนิก้า นักศึกษาฝึกงานสาวสวยคนนั้น อดใจไม่ไหว บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ซ่อนเร้นระหว่างหล่อน นักศึกษาฝึกงานธรรมดาๆ และเขา…บุรุษหมายเลขหนึ่งแห่งประเทศมหาอำนาจ ให้เพื่อนฟังทางโทรศัพท์ และการบอกเล่านี้ ถูกอัดเสียงเอาไว้ นี่คือการเขย่าบัลลังก์ประธานาธิบดีอเมริกาที่แรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ผู้ที่อัดเสียงสนทนานั้นไว้คือ ลินดา ทริปป์ อดีตเจ้าหน้าที่เพนตากอน สตรีผู้มีเบื้องลึกเบื้องหลังเนื่องจากเคยทำงานที่ทำเนียบขาวให้กับอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอช.ดับเบิลยู บุช ผู้ลูก และทำงานที่ทำเนียบขาวช่วงสั้นๆ ในสมัยคลินตันก่อนที่จะถูกย้ายไปประจำที่เพนตากอน และในมกราคม 2001 เธอถูกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ให้ออกจากงานซึ่งเป็นวันสุดท้ายของรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน และหลังจากนั้นทริปป์ได้ฟ้องดำเนินคดีต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลการว่าจ้างและความมั่นคงของเธอต่อสื่ออเมริกัน และได้รับการตัดสินประนีประนอมด้วยตัวเลข 600,000 ดอลลาร์ รวมถึงการจ่ายเงินเดือนย้อนหลัง 3 ปี

ทริปป์นำคลิปเสียงที่ยาวกว่า 22 ชั่วโมงนั้นส่งไปให้อัยการพิเศษสหรัฐฯ เคน สตาร์ (Ken Starr) ด้วยเหตุผลที่เจ้าตัวบอกว่า “ทำเพราะรักชาติบ้านเมือง”

แน่นอนว่าในเบื้องต้น ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว แต่ในที่สุด นอกจากไฟล์เสียงที่มี ประกอบกับ “เดรสสีฟ้า” ชุดที่โมนิก้าสวมใน “วันเชือดในห้องรูปไข่” เธอไม่ได้นำไปซักและเอฟบีไอพบหลักฐานทางชีวภาพมากมาย เป็นอสุจิของประธานาธิบดีคลินตัน ที่เลอะอยู่บนชุดนั้น

จนด้วยหลักฐานจึงดิ้นไม่หลุด ประธานาธิบดีผู้เป็นที่รักที่นิยมของอเมริกันจนจึงต้องออกมาแถลงการณ์ยอมรับว่า “ผมทำครับ” จากกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ก่อนจะขอโทษครอบครัวตัวเอง และขอโทษสังคม ก่อนจะยืนยันว่า “ความสัมพันธ์อันไม่เหมาะสม” กับนักศึกษาฝึกงานคนดังกล่าว เป็นเพียงการทำ “โอษฐกาม” หรือ “ใช้ปาก” (Oral Sex) เท่านั้น

นอกจากนี้ เมื่อเรื่องฉาวเกิดขึ้น เป็นธรรมดาของการ “ขุด” เรื่องเก่าๆ ขึ้นมาอีกครั้ง และจากการขุด ทำให้โลกรู้ว่า ก่อนหน้านี้ คลินตันก็เคยก่อคดีหัวงูลวนลามลูกน้องผู้หญิงมาแล้วหลายคน รวมถึง “พอลล่า โจนส์” ผู้เป็นเหยื่อ ลุกขึ้นมาฟ้องร้องเอาเรื่อง

เรื่องดังกล่าวทำให้คะแนนนิยมต่อคลินตันและพรรคตกฮวบ และส่งผลให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่2 ของสหรัฐฯ ที่ถูก อิมพีชเมนต์ (Impeachment) หรือการลงมติถอดถอนประธานาธิบดี โดยสภาครองเกรสยื่นเรื่องถอดถอนคลินตันให้พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี ตามมาด้วยการสอบสวนของวุฒิสมาชิกเป็นเวลา 21 วันเต็ม ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว วุฒิสมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เ ซึ่งป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตลงมติให้คลินตันไม่มีความผิดและไม่ถูกถอดถอนจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียง 55 ต่อ 45 เสียง ก่อนจะหมดวาระประธานาธิบดีสมัยที่สอง คลินตันได้ตกลงกับศาลในการยุติการสืบสวน ซึ่งแลกกับการถอนใบอนุญาตทางกฎหมายเป็นเวลา 5 ปี และแม้บิล คลินตัน จะไม่ถูดถอดถอน และยังคงรักษาชีวิตคู่ไว้ได้ กับ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ฮิลลารี คลินตัน ผู้เป็นดั่งลมใต้ปีกไว้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ถูกปิดบังอะไรว่า สถานะการสมรสระหว่างบิลและฮิลลารีก็กระเทือนไม่น้อย ว่ากันว่า เขาต้องนอน “โซฟา” ทำเนียบขาว ไม่ได้รับอนุญาตให้ย่างกรายไปถึงห้องนอนนานนับปีทีเดียว

หลังจากโมนิก้ามีกรณีอื้อฉาวจนเลยเถิดไปถึงระดับชาติ เธอก็หายหน้าไปจากสังคม เธอจำต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไม่กล้าออกไปไหน และเอาแต่ถักนิตติ้งสงบสติอารมณ์ เธอเป็นเป้าหมายของความเกลียดชัง และถูกชาวบ้านขว้างปาสิ่งของใส่หน้าต่าง และหน้าบ้านก็เต็มไปด้วยกองทัพนักข่าว ผ่านไป ผ่านไปถึง เธอจึงกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง โดยไปเป็นแขกรับเชิญออกรายการทีวีหลายรายการ และร่วมเขียนหนังสือชีวประวัติบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัว “Monica’s Story” รวมถึงชีวิตบางเสี้ยวที่เกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีคลินตัน โกยรายได้เข้ากระเป๋าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เธอยังจับธุรกิจดีไซน์กระเป๋าของตัวเองออกขาย จากนั้นก็ได้รับการชักชวนให้เป็นพรีเซ็นเตอร์รายการทีวีโปรแกรมลดความอ้วน ก่อนจะไปเฉิดฉายเป็นดาวสังคมในนิวยอร์กซิตี้ และเป็นพิธีกรรายการทีวีดังหลายรายการ เธอก้าวเข้าสู่สังคมชั้นสูง แม้จะตั้งต้นมาด้วยข่าวแสนอื้อฉาว แต่เป็นเธอเองที่หน่ายกับการถูกขุดคุ้ยเค้นตลอดเวลา เธอจึงตัดสินใจหนีไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านจิตวิทยาสังคม ที่ลอนดอนสคูลออฟ อีโคโนมิกส์ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

สำหรับเนื้อหาในบางช่วงบางตอนของหนังสือนั้น ลูวินสกี ในวัย 41 ยังคงยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบิล คลินตันว่า เป็นเรื่องที่เห็นชอบด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่หลังจากนั้นเธอถูกทำให้กลายเป็น “แพะรับบาป” เพื่อช่วยปกป้องบิล คลินตัน ไม่ให้พ้นจากตำแหน่ง

“ถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะต้องเผาหมวกเบเร่ต์ และฝังชุดเดรสสีน้ำเงิน” ลูวินสกีเขียน เหมือนจะทำใจให้ลืม ความหลังครั้งเก่าที่เธอเคยมีกับบิล คลินตัน จนเกือบทำให้เขาหลุดจากตำแหน่ง เนื่องจากโดนอิมพีชเมนต์ หรือกระบวนการถอดถอนจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยพรรครีพับลิกัน พรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น ด้านนิตยสาร เนชั่นแนล เอ็นไควเรอร์ ได้รายงานอ้างความเห็นของเพื่อนสาวคนสนิทของลูวินสกีว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา โมนิกา ลูวินสกี ยังคงมีความรู้สึกดีๆ กับบิล คลินตัน อยู่ตลอด และแม้จะพยายามสร้างความสัมพันธ์กับชายใด บุรุษหมายเลข1แห่งอเมริกาก็ยังคงเป็นที่1ในใจของเธออย่างมิอาจหาใครแทนที่ได้