โจ ไบเดน ก้าวสู่ห้องทำงานภายในทำเนียบขาวอย่างสง่างาม ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 46 หลายต่อหลายอย่างถูกเปลี่ยนแปลง โดยในความเปลี่ยนแปลงนั้น เมื่อผนวกกับการแสดงออก รสนิยม วิสัยทัศน์ ของโจ ไบเดน อาจจะกล่าวได้ว่า นี่คือ “การหวนกลับมาของสหรัฐอเมริกาอย่างยิ่งใหญ่และภาคภูมิอีกครั้ง”

ทันทีที่ โจ ไบเดน ย่างเท้าเข้าไปใน “ห้องรูปไข่” หรือ Oval Office อันเป็นห้องทำงานของประธานาธิบดีอเมริกา (เกร็ดตรงนี้นิดมีเล่าให้ฟัง ถ้าใครแก่พอจะรู้จักห้องนี้ในนาม ห้องลูบไข่ กรณีอื้อฉาวของประธานาธิบดี บิล คลินตัน ที่ “กินไก่วัด” โมนิก้า ลูวินสกี้” ในห้องนี้นั่นเอง) เขาได้สั่งให้เปลี่ยน ภาพ Portrait ของ Andrew Jackson ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้รับนิยมจากชาวอเมริกันมากที่สุดคนหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งทรัมป์ นำมาประดับห้องทำงาน อันส่อถึงรสนิยมทรัมป์ที่ เลือกความนิยม เลือกอย่างพ่อค้า แต่ไบเดนให้แทนที่ภาพนั้นด้วย Portrait ของ Benjamin Franklin!?

คำถามคือ ทำไมเอารูปประธานาธิบดียอดนิยมออก แล้วเอาภาพนักวิทยาศาสตร์แทนที่

Benjamin Franklin เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันคนสำคัญ ที่มีทักษะทางด้านฟิสิกส์สูง และได้เปลี่ยนโลกด้วยนวัตกรรม “สายล่อฟ้า” Washington Post นี่คือสัญลักษณ์แรกของประธานาธิบดีคนใหม่ ที่แสดงให้ความเห็นว่า ท่ามกลางการระบาดของโควิด19 อันเป็นเหตุการตายของพลเมืองสหรัฐฯ ที่ขึ้นแท่นจำนวนยอดตายมากที่สุดในโลกในขณะนี้ ไบเดนประกาศชัดเจน เขาให้ความสำคัญกับนโยบายด้านวิทยาศาสตร์

แสงแห่งความหวังของอเมริกันชนจะเรืองรอง ปลายอุโมงค์ของพวกเขาภายใต้รัฐนาวาโดยประธานาธิบดีคนใหม่ วิทยาศาสตร์จะได้รับการสนับสนุน แน่นอนว่า วิทยาศาสตร์การแพทย์และการคิดค้นวัคซีนด้วย

นอกจากนี้ ความลุ่มลึกของไบเดน ที่ส่งผ่าน Benjamin Franklin นอกจากเป็นนักวิทยาศาตร์คนสำคัญแล้ว เขายังมีบทบาททางการเมืองในฐานะแกนนำปลดปล่อยสหรัฐอเมริกาในฐานะดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ Benjamin Franklin จึงได้รับการยกย่องในฐานะผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา

กระสุนนัดเดียว ได้นกสองตัว ภาพเดียว เห็นทั้งป่าวิสัยทัศน์ในสมองอันลึกล้ำของไบเดนจริงๆ

ยัง…ยังไม่พอ ภาพเขียนอีกภาพที่ถูกปลดออกจาก Oval Office คือ ภาพ Franklin D. Roosevelt ประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่อเมริกันชน เป็นธรรมดาที่ “พ่อค้า” หรือถ้าเรียกให้หรู “นักธุรกิจ” ผู้เห็นผลประโยชน์เป็นสำคัญอย่าง โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ จะเลือกภาพ “ที่หนึ่งตลอดกาลในใจอเมริกันชน” มาประดับบารมี ธรรมดาของคนที่ดีดลูกคิดรางแก้วว่า “เท่าไหร่” มากกว่า “อย่างไร” แต่ไบเดนกลับ แทนที่ภาพนั้นด้วยภาพประธานาธิบดีอเมริกัน Thomas Jefferson และ Alexander Hamilton อันนี้ Washington Post ตีความว่า สะท้อนตัวตนของไบเดน ว่า รับความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย สามารถทำงานกับคนที่มีความเห็นแตกต่าง เปรียบเสมือนนำประธานาธิบดี Thomas Jefferson มาทำงานร่วมกับ Alexander Hamilton

ความประทับใจต่างๆ ในวันสาบานตนของโจ ไบเดน กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียล ไม่ว่าจะเป็น การขับร้องเพลงชาติโดยเลดี้กาก้า ที่มาในชุดสีเนวี่บลูเข้มจัด ขับให้เครื่องประดับขนาดใหญ่สีทองชิ้นเดียวที่หน้าอกโดดเด่นจนเป็นที่กล่าวขวัญ สิ่งนั้นคือ “เข็มกลัดติดหน้าอกนกพิราบคาบกิ่งมะกอก” สื่อถึง สันติภาพ การยกโทษ การยอม เพื่อให้เกิดสันติภาพ ความสงบสุข แก่มวลมนุษยชาติ ประดับ ที่ติดหน้า แม้กระทั่งทวิตเตอร์ของเจ้าตัวเอง ก็ลงภาพนี้และเขียนว่า A dove carrying an olive branch. May we all make peace with each other.

และสำหรับเลดี้กาก้าแล้ว นี่คือหนึ่งก้าวสำคัญและเกียรติยศอันสูงสุดของเธอ ที่เธอได้รับเลือกให้เป็นคนร้องเพลง The Star-Spangled Banner เพลงชาติสหรัฐอเมริกา ที่พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ โจ ไบเดน ในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า นกที่อกของเลดี้กาก้า มีความคล้ายคลึง สัญลักษณ์ของนก mockingjay จากนิยายเรื่อง Hunger Game ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิวัติ อีกด้วย

นักร้องขวัญใจคนทั้งโลกร้องเพลงนี้ด้วยสีหน้าปิติอิ่มเอิบ นี่คือ 4 ปีที่เธอรอคอย เป็นที่รู้กันว่า เลดี้กาก้านั้น ไม่ปลื้มนโยบายของทรัมป์เอาเสียเลย

เฟิร์สเลดี้ “ดร.จิล ไบเดน” เลือกยังดีไซเนอร์ชาวอเมริกันอย่าง Alexandra O’Neil ซึ่งทำให้แบรนด์ Markarian ใน New York ได้ทำชุดประวัติศาสตร์งานพิธีเข้ารับการสาบานตนของสามี ชุดเป็นผ้าทวีต ผ้าวูลสีฟ้า ช่วงคอประดับคริสตัลชวารอฟสกี ที่เลือกสีฟ้า แสดงถึงความน่าเชื่อถือ มั่นใจ มั่นคง พร้อมทั้งมีข่าวด้วยว่า ดร.จิล ซึ่งทำงานเป็นอาจารย์ จะยังคงทำงานประจำของตนเองต่อไป แม้สามีจะเป็นประธานาธิบดี และตนเองเป็นสุภาพสตรีหมายเลข1 ในขณะที่ชุดวันสาบานตนของ ไบเดน เขาเลือกสวมสูทของ Ralph Lauren

ในวันแรกของการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โจ ไบเดน ลงนามในคำสั่ง 17 คำสั่ง ซึ่ง 9 คำสั่งในนั้นยกเลิกนโยบายเดิมของทรัมป์

ในรายงานพิเศษชิ้นถัดไป เราจะมาดูกันว่า ไบเดน สะสางปัญหาที่ทรัมป์ก่อไว้ ผ่านการเปลี่ยนนโยบายอะไรบ้าง