บริษัทขนส่งโลจิสติกสหรัฐฯ FedEx เมื่อวันศุกร์ (14 ม.ค.) ยื่นเรื่องต่อสำนักงานบริหารการบินสหรัฐฯ FAA ขออนุญาตติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธแบบทำลายด้วยเลเซอร์อินฟราเรดไปยังมิสไซล์ที่พุ่งเข้าหาเครื่องบินขนส่งสินค้าของบริษัท

CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานวันศุกร์ (14 ม.ค.) ว่า ในการยื่นเรื่อต่อสำนักงานบริหารการบินสหรัฐฯ FAA บริษัทโลจิสติก FedEx ระบุในคำร้องถึงเหตุผลต้องการติดตั้งเครื่องต่อต้านขีปนาวุธบนเครื่องบินคาร์โก้ของตัวเองว่า เป็นเพราะเมื่อปี 2003 เครื่องบินขนส่งสินค้าของบริษัท DHL ที่เพิ่งขึ้นเทกออฟจากสนามบินกรุงแบกแดด อิรัก เกือบถูกมิสไซล์แบบภาคพื้นสู่อากาศยิงใส่ปีกซ้ายของเครื่องบินแอร์บัส A-330 อย่างหวุดหวิด แต่อย่างไรก็ตามพบว่ากัปตันสามารถนำเครื่องกลับไปยังสนามบินพร้อมลูกเรือได้อย่างปลอดภัย

“เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีไม่กี่เหตุการณ์เกิดขึ้นในต่างประเทศ เครื่องบินพลเรือนถูกยิงโจมตีด้วย MANPADS อาวุธระบบต่อต้านทางอากาศแบบเคลื่อนที่ซึ่งใช้มนุษย์เป็นผู้ควบคุม” อ้างอิงจากเอกสาร FAA

และยังกล่าวต่อว่า “และทำให้มีบริษัทไม่กี่แห่งได้ออกแบบและพัฒนาการใช้ระบบต่อต้านมิสไซล์แบบเลเซอร์สำหรับการติดตั้งบนเครื่องบินพลเรือนเพื่อป้องกันเครื่องบินจากมิสไซล์ที่ตรวจจับด้วยความร้อน”

CNN รายงานว่า ผู้กำกับการบิบสหรัฐฯ มีเวลา 45 วันในการรับฟังความเห็นจากสาธารณะก่อนที่จะทำการอนุมัติ “ระบบปล่อยพลังงานเลเซอร์อินฟราเรดออกไปนอกเครื่องบินซึ่งเป็นมาตรการต่อต้านการโจมตีมิสไซล์แบบตรวจจับความร้อนบนเครื่องบินแอร์บัส A321-200”

ในเอกสาร FAA ยังชี้ต่อว่า FedEx ได้เริ่มต้นกระบวนการขออนุญาตจากรัฐบาลวอชิงตันสำหรับการดัดแปลงเครื่องบินรุ่น A321-200 มาตั้งแต่ปี 2019 ถึงแม้ว่าบริษัทจะยังไม่มีเครื่องบินประเภทนี้อยู่ในการครอบครองก็ตาม

FAA กำหนดว่าการอนุมัติใดๆ ที่จะมีต้องรวมไปถึง “หนทางที่สามารถป้องกันอุบัติเหตุที่ระบบอาจทำงานโดยไม่คาดฝันบนภาคพื้น” ซึ่งรวมไปถึงระหว่างเครื่องกำลังซ่อมบำรุงและการจัดการระหว่างอยู่บนภาคพื้นดินเนื่องมาจากระบบเลเซอร์อาจสร้างความเสียหายต่อดวงตาและผิวหนังได้