ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เผยมีหนึ่งในผู้เสียหายคดีปริญญ์คุกคามทางเพศ อยู่ดีๆ กลัว มาขอให้ลบ-ดัดแปลงข้อมูล ลั่นไม่ทำให้ ย้ำเน้นเรื่องจริง ขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ อีกด้านโวยสื่อค่ายหนึ่งลงข่าวบิดเบือน

วันนี้ (23 เม.ย.) เฟซบุ๊ก “ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ” ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง โพสต์ข้อความถึงกรณีที่หนึ่งในผู้เสียหายจากคดีที่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คุกคามทางเพศ ขอให้ลบข่าวหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล ระบุว่า “ถ้าใครมาขอให้ผมช่วยทำคดีอะไร แล้วผมขออนุญาตนำเรื่องลงเพจแล้วเป็นคดีดังขึ้นมา อยู่ดีๆ มาขอให้ลบ หรือดัดแปลงข้อมูลเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่ทำให้นะครับ เพจผมเน้นเรื่องจริง และขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ จะอยู่ดีๆ มากลัว มาขอลบ บอกเลยผมไม่ทำให้ ตัวผมเองก็เสี่ยงเปิดหน้าสู้ มีเครดิต มีความน่าเชื่อถือต้องรักษา ถ้าใจไม่สู้จริง อย่ามาขอความช่วยเหลือจากผม”

“หาว่าผมถ่ายรูปโดยไม่อนุญาต วันนั้นผมไปคนเดียว ผมให้พนักงานในร้านถ่ายรูปให้ ผมยังเดินไปหามุมกล้องให้พนักงาน แถมบอกน้องว่าให้จัดผมหน่อย ข้างหลังมันกระเซิง แม่มาพูดแบบนี้ผมเสียนะครับ ผู้เสียหายทุกคนก่อนจะทำอะไรผมขออนุญาตทุกครั้ง แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ผมป้องกันแค่ไหน พี่ๆ นักข่าวลองถามผู้เสียหายที่ไม่มีปัญหาทั้ง 14 คนจะรู้ความจริงครับ”

นอกจากนี้ ทนายตั้มยังนำข้อความสนทนาระหว่างแม่ของผู้เสียหายรายหนึ่ง กับทีมงานของทนายษิทรา ถึงการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ที่กล่าวหาว่านายษิทราโพสต์รูปผู้เสียหายจนเป็นข่าว บอกให้ลบก็ไม่ลบ และไม่เคยแต่งตั้งให้เป็นทนายความด้วย โดยนายษิทราระบุว่า “ความจริงจากฝั่งคุณแม่ครับ นักข่าวควรมีจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าวมากกว่านี้นะ การนำเสนอข่าวแบบนี้มันทำคนอื่นเสียหาย ส่วนโพสต์นี้ผมไม่ได้หมายถึงใครโดยเฉพาะเจาะจง ผมหมายถึงทุกเคส ทุกกรณี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก”

โดยได้นำข้อความ SMS ที่แม่ของผู้เสียหายคุยกับทีมงานนายษิทรา ระบุว่า “คำว่า “คุณแม่แฉ” ไม่สมควรนำมาใช้พาดหัวข่าวด้วยประการทั้งปวง เพราะมันจะยิ่งทำให้เกิดความแตกแยกกันนี่แหละ สังคมมีความแตกแยกมากขึ้นเพราะการนำเสนอข่าวแบบนี้แหละ” และว่า “เราพูดอีกแบบไปลงอีกแบบ อุตส่าห์ขอร้องให้อย่าไปว่า

อย่าไปพาดพิงทนายตั้ม ส่วนที่เขาทำดีเพื่อสังคม ก็ให้เขามีกำลังใจที่จะทำต่อไป การบิดเบือนข่าวจากข้อเท็จจริงแม้เพียงน้อยนิดหรือการใช้คำพูดในการนำเสนอข่าว แม้แต่เพียงน้อยนิด ก็ทำให้สังคมเกิดเข้าใจผิด และทำให้เกิดความแตกแยกได้เช่นกันค่ะ” ทิ้งท้ายว่า “กราบขอบพระคุณที่…เข้าใจ ความรู้สึกของคุณแม่นะคะ”

เมื่อทีมงานกล่าวว่า ขออนุญาตส่งข้อความนี้ให้ทนายตั้มได้ดูได้หรือไม่ เพื่อยืนยันว่าทางแม่ผู้เสียหายไม่ได้มีเจตนาแบบที่ข่าวเสนอไป ซึ่งแม่ของผู้เสียหายตอบกลับมาว่า “ถูกต้องค่ะ และคุณแม่ยังย้ำก่อนวางสายกับนักข่าวคนนั้นด้วยซ้ำไปว่า ทำอย่างไรก็ได้พูดอย่างไรก็ได้ที่อยู่ในพื้นฐานของความจริง แต่อย่าให้มีผลไปกระทบหรือทำให้ทนายตั้มเขาหมดกำลังใจที่จะทำความดีเพื่อสังคม”