จัดว่า “คะแนนนิยมตก” ในชีวิตจริง ตั้งแต่เจ้าชายแฮรี่แห่งอังกฤษ ดยุคแห่งซัสเซ็กซ์ ออกมาประกาศว่าจะ “ลาออกจากราชวงศ์” หลังเสกสมรสกับนางเอกเกรดบีอย่าง “เมแกน มาร์เคิล” ที่ดันตัวเองมาได้ถึงพระยศ “ดัชเชสแห่งซัสเซ็กซ์” หลังตกร่องปล่องชิ้นกับเจ้าชายหนุ่ม ท่ามกลางวิกฤติโควิดหนักหนาของประเทศ เสด็จปู่ (ดยุคแห่งเอดินบะระ) ประชวรและสิ้นพระชนม์ , ทูลกระหม่อมย่า (ควีนเอลิซาเบธที่สอง) , ทูลกระหม่อมพ่อ (เจ้าฟ้าชายชาร์ลส -พระยศในขณะนั้น) ประชวรพระโรคโควิด ประชาชนต้องการขวัญและกำลังใจ แต่เจ้าชายหนุ่มกลับจะ “ทิ้งบ้านทิ้งเมือง” ราวกับโศกนาฏกรรมความเศร้าของ “กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่แปด ดยุคแห่งวินเซอร์” ทิ้งบัลลังก์เพื่อสตรีหม้าย “วอลลิส ซิมป์สัน” และนั่นทำให้ชาวอังกฤษไม่พอใจ
.
จากนั้นเจ้าชายแฮรี่และเมแกนก็ย้ายไปตั้งรกรากที่อเมริกา ออกสื่อและให้ข่าวโจมตีราชวงศ์วินเซอร์ที่ “ทูลกระหม่อมย่า” ใช้ตลอดพระชนม์ชีพปกป้องรักษาและธำรงเอาไว้อย่างให้มีพระเกียรติยศพระเกียรติศักดิ์ ก็พลันสั่นคลอนเมื่อ “หลานรัก” ไปออกรายการของโอปราห์ วินฟรีย์ เพื่อแลกเงินและวางระเบิดลูกใหญ่โดยการให้ข่าวว่า ภายในพระบรมวงศ์ เหยียดผิด “อาร์ชี่” โอรสในเจ้าชายแฮรี่
.
และท่ามกลางการป่าวประกาศว่า “ต้องการความเป็นส่วนตัว” แต่เจ้าชายและชายาก็เปิดเผยทุกอย่างของตัวเองเพื่อ “ขาย” ออกสื่อ แม้กระทั่งภาพใบหน้าของโอรส-ธิดา คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เปิดเผยอย่างไม่สนใจ “สิทธิเด็ก” แต่อย่างใด


.
ล่าสุดทั้งคู่ “รับจ้าง” สตรีมมิ่งเจ้าดังอย่าง Netflix โดยมีการทำสัญญากับ Netflix เพื่อเงิน มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการผลิตสารคดีเรื่องราวของทั้งคู่ ภายใต้สัญญานี้ทั้งคู่ได้นำภาพถ่ายและคลิปวิดีโอส่วนตัวออกมาเผยแพร่เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความรักในช่วงที่คบหาดูใจกัน ก่อนที่เจ้าชายแฮร์รี่จะขอเมแกนแต่งงานใน ปี 2560 และตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่สหรัฐฯ เมื่อเดือน มี.ค. 2563 จนกระทั่งสร้างครอบครัว และให้กำเนิดเจ้าชายอาร์ชี และเล่นสารคดีซีรีส์ “แฮร์รีและเมแกน” Harry & Meghan เพื่อบอกเล่าเรื่องราว “ใต้พรม” ของราชวงศ์วินด์เซอร์ แน่นอนว่า ทิศทางที่พูดถึง พ่อ (คิงชาร์ลส กษัตริย์องค์ปัจจุบันแห่งอังกฤษ) พี่ชาย (เจ้าฟ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ มกุฏราชกุมาร และ เจ้าหญิงเคท พระชายา) และควีนคามิลลา มเหสีของคิงชาร์ลส พระราชบิดาของตัวเอง ย่อมเป็นไปในทางร้าย
.
ซีรี่ย์ชุดนี้จริงๆ ต้องออกช่วงควีนเอลิซาเบธสวรรคต แต่เพื่อถวายพระเกียรติ จึงเลื่อนออกอากาศให้พ้นช่วงงานพระบรมศพสักพักใหญ่
.
กระแสเรื่องดังกล่าว พูดง่ายๆ คือ “ท่าดีทีเหลว” เพราะในประเทศอังกฤษ เอพพิโซดแรกของสารคดีซีรีส์ “แฮร์รีและเมแกน” มียอดผู้เข้าชมทางโทรทัศน์อยู่ที่ 2.4 ล้าน (ตัวเลขของกรรมการวิจัยผู้รับชมผ่านการออกอากาศ หรือ BARB) ซึ่งถือว่าหรูมาก คือสูงกว่าสองเท่าของยอดที่ซีรีส์ละคร The Crown ทำได้ ณ เอพพิโซดแรก ที่ 1.1 ล้าน
.
แต่ยอดสวยๆ นั้นกลับลดวูบลงในเอพพิโซดที่ 2 โดยตัวเลขผู้ชมอยู่ที่ 1.5 ล้าน ยิ่งมาถึงเอพพิโซดที่ 3 ตัวเลขดิ่งเหลือ 1 ใน 3 คือ 800,000 วิวเท่านั้น


.
ส่วนสำหรับผลประกอบการของ “แฮร์รีและเมแกน” ในตลาดสหรัฐอเมริกายิ่งแย่หนักกว่า
.
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีประชากร 332 ล้านราย หรือประมาณห้าเท่าตัวของประชากรอังกฤษซึ่งอยู่ที่ 67 ล้านรายนั้น แต่กลับมียอดผู้ชมไม่ถึง 1 ล้าน ณ วันแรกของการเปิดตัวซีรีส์ “แฮร์รีและเมแกน”
.
ยิ่งกว่านั้น เดอะซันรายงานรายงานว่า คำวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านพระราชวงศ์และด้านธุรกิจทีวีประสานเสียงว่า เป็นโชว์ที่ “น่าผิดหวัง”
.
ถ้าใครได้ดูแล้ว จะพบว่า มันคือเรื่องราวที่ถูก “เล่น” โดยเจ้าชายแฮรี่และเมแกน สลับกับการใส่รูปส่วนตัว ทั้งที่ประกาศปาวๆ ลาออกจากราชวงศ์เพราะไม่ชอบเป็นข่าว ต้องการความเป็นส่วนตัว รวมถึงคลิปที่ถ่ายเก็บเอาไว้จำนวนมาก แต่แค่ EP.1 ก็โป๊ะจนไม่รู้จะโป๊ะยังไง ข้อเท็จจริงของการพบกันครั้งแรก การเดตกันครั้งแรก ก็ผิดเพี้ยนจากความจริงไปหมด
.
แต่ละEP.ก็วางระเบิดราชวงศ์ครอบครัว พ่อ พี่ชายตัวเอง เป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็น “ราชวงศ์ไม่บอกความจริง และพวกเขา (แฮรี่และเมแกน) รู้ความจริงทั้งหมด” หรือ “พวกเขาโกหกเพื่อปกป้องพี่ชายผม”
.
สภาพเจ้าชายในซีรี่ส์ ทำให้เราหลงลืมไปเลยว่าโลกเคยมีเจ้าชายผมแดงขี้เล่น ทะเล้น น่ารัก ช่างยั่วให้คนรอบข้างยิ้ม หรือทหารผู้มุทะลุดุดันเวลาออกรบ เจ้าชายไร้กรอบที่แม้จะทะเลาะหรือสร้างข่าวเสียหาย ก็ยังคงมีความเป็นผู้นำ แม้จะแบบผิดๆ ไม่ว่าจะเป็นปล่อยให้ปาปารัสซี่ถ่ายรูปเปลือย ทะเลาะกับตากล้อง หรือทำอะไรห่ามๆ เช่นใส่เครื่องหมายสวัสดิกะ แต่นั่นก็คือความห่ามอย่างแบบฉบับเจ้าชายแฮรี่ที่โลกรู้จัก
.
แต่ในซีรี่ส์ มันถูกเปิดด้วยบทพูดที่ตะกุกตะกักของชายผู้สละครอบครัว ฐานันดร พระเกียรติยศ และหน้าที่อันพึงกระทำในยามบ้านเมืองวิกฤติเอาไว้เบื้องหลัง ดูไม่มั่นใจ จำวันจำคืนไม่ได้ พูดจาไม่ฉะฉานเหมือนก่อน ไร้รอยยิ้ม และเมื่อเมียทำท่าอ้าแขนกว้างก้มคอเพื่อล้อเลียน “ทูลกระหม่อมย่า” กษัตรีย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่ง ผู้ทรงคุณูปการมหาศาล และทรงเลี้ยงดูพระราชทานความรักแก่เจ้าชายแฮรี่มาตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยทั้งรักทั้งสงสารว่าเสียพระมารดาตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าชายในซีรี่ส์ก็ทำได้เพียง นั่งใบ้ ไม่กล้าออกความเห็น ไม่กล้าห้าม ในการที่ “เมีย” ตัวเอง เอา “ทูลกระหม่อมย่า” ที่คนอังกฤษรักและเคารพยิ่งทำให้กลายเป็นตัวตลก


.
แน่นอนว่ากระแส “ด่ายับ” เกิดขึ้นทันที สื่อจากสหราชอาณาจักรวิจารณ์ว่า “อย่าดึงฟ้าลงต่ำ” ในขณะที่บางส่วนคาดการณ์ว่าซีรีส์เรื่องนี้ยิ่งเป็นการซ้ำรอยร้าวและอาจเป็นตัวการนำไปสู่การชักธงรบครั้งใหม่ระหว่างราชวงศ์อังกฤษกับแฮร์รีและเมแกนก็เป็นได้
.
ลางความฉิบหายเริ่มด้วยา เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. Netflix นำตัวอย่าง ความยาว 72 วินาที จำนวน 2 คลิป เผยแพร่ทาง YouTube ปรากฏว่าผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงทั้งสองคลิปมียอดคนดูแล้วกว่า 7 ล้านวิว ขณะที่ยอดคนกดปุ่ม Dislike มากกว่า 400,000 ครั้ง!
.
และแน่นอนตามกฎ action=reaction ออกไป “ด่าครอบครัวตัวเองเพื่อขายออกสื่อ” ขนาดนี้ ย่อมมีกระแสสะท้อน ล่าสุด นายบ็อบ ซีลีย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคอนุรักษนิยม ของอังกฤษ เปิดเผยว่า เขากำลังเตรียมยื่นเสนอให้สภาพิจารณาร่างกฎหมายถอดยศ เจ้าชายแฮร์รี่ และพระชายา เมแกน มาร์เคิล ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ หลังจากที่ทั้งสองพระองค์กล่าวโจมตีอังกฤษอย่างก้าวร้าว และไม่น่าเชื่อ โดยนายซีลีย์ กล่าวว่า การเสนอแก้ไขร่างพระราชบัญญัติปี ค.ศ.1917 ที่เสนอโดยสมาชิกรัฐสภา (Private Members’ Bill) ว่าด้วยการให้อำนาจแก่องคมนตรีในการพิจารณาถอดยศ จะช่วยเปิดทางให้เจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน สามารถคืนตำแหน่งดยุกและดัชเชส ให้กับประเทศได้ หลังจากทั้งคู่กล่าวโจมตีเครือรัฐจักรภพที่สืบทอดกันมา ว่าเป็น “จักรวรรดิ 2.0” และยังกล่าวเชื่อมโยง “เบร็กซิต” (Brexit) ที่อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป ว่าเป็นเพราะการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติที่ฝังรากลึกในสังคม
.
สื่อดังอย่าง เดอะ ซัน ยังเขียนถึงเจ้าชายและพระชายาว่า ทำลายมรดกของควีนเอลิซาเบธที่ 2 และทำให้ กษัตรย์ชาร์ลส์ที่ 3 พระบิดา และเจ้าชายวิลเลียม พระเชษฐา ทรงเสียพระทัย และทำให้ประเทศชาติถูกมองว่าเหยียดเชื้อชาติอย่างไม่ยุติธรรม
.
อย่างไรก็ตาม ฝั่งวินด์เซอร์ แม้จะทั้งคิงและเจ้าชายมกุฏราชกุมารจะยังไม่มีท่าทีอะไรออกมากับซีรี่ส์ชุดนี้ แต่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า ทางพระราชวังได้เตรียม “ทีมทนาย” พร้อมรับมือกับการให้ข่าวสารที่ผิดเพี้ยนและสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ราชวงศ์เอาไว้แบบฟูลทีม
.
งานนี้โลกทั้งโลกได้เห็น “น้ำใจคนเป็นลูก” ว่าทำได้ถึงขนาดนี้…ก็ตั้งใจรอดู “ใจคนเป็นพ่อ” ว่าจะ “ทรงทำ” อะไรขนาดไหนเหมือนกัน!