รัฐมนตรีสาธารณสุขของแอฟริกาใต้ ประกาศหยุดใช้วัคซีนแอสตราเซเนกา พบป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เพียง22%

 นายซเวลี เอ็มคิเซ รัฐมนตรีสาธารณสุขของแอฟริกาใต้ เปิดเผยว่า แอฟริกาใต้จะหยุดใช้วัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกาของอังกฤษชั่วคราว หลังจากพบข้อมูลใหม่ ชี้ว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์(501Y.V2)โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการป่วยเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยแอฟริกาใต้จะใช้วัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค ผู้ผลิตวัคซีนจากสหรัฐฯ-เยอรมนีและวัคซีนจากบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันของสหรัฐฯแทนวัคซีนจากแอสตราเซเนกาไปพลางก่อน

ก่อนหน้านี้ ทีมนักวิจัยของแอฟริกาใต้ ระบุว่า ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ วัคซีนจากแอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้อยละ 75 แต่ผลการวิเคราะห์ในระยะหลังๆ หรือหลังจากโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ระบาดในแอฟริกาใต้มากยิ่งขึ้น ทีมนักวิจัยของแอฟริกาใต้ พบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง ป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ได้เพียงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับอาสาสมัครอีกกลุ่มที่ได้รับยาหลอก(placebo)เช่น ใส่น้ำเกลือธรรมดา แม้ว่าตัวเลขนี้จะไม่มีนัยยะสำคัญเนื่องจากเป็นการออกแบบการวิจัยเพิ่มเติมในภายหลัง แต่ทีมวิจัยเห็นว่าตัวเลขนี้ยังน้อยกว่ามาตรฐานขั้นต่ำของการป้องกันเชื้อไวรัสที่องค์การอนามัยโลกกำหนดคือ ร้อยละ 50

เมื่อเร็วๆนี้ บริษัทแอสตราเซเนกา เปิดเผยว่า บริษัทเริ่มปรับปรุงตำรับยาให้มีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อให้สามารถป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในบรรดาสายพันธุ์ต่างๆ ของไวรัสโควิด-19 พบว่า สายพันธุ์สหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้และบราซิล สามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ซึ่งในการทดลองขนาดเล็กที่มีอาสาสมัคร 2,000 คนพบว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพที่จำกัดต่อสายพันธุ์แอฟริกาใต้ แม้ว่าจะไม่มีผู้เข้าร่วมการทดลองรายใดที่มีอาการเจ็บป่วยถึงขั้นที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต ซึ่งอาจเป็นเพราะอาสาสมัครเหล่านี้เป็นคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพแข็งแรง และวัคซีนสามารถป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรง ด้วยการกระตุ้นการทำงานของแอนติบอดีที่มีฤทธิ์ลบล้าง (Neutralizing antibody)