“วาเลนไทน์” ไม่ได้มีที่มาที่หวานฉ่ำปิดจ๊อบปิดจบแบบ Happy Ending เลยวันแห่งความรักมา1วัน แอดขอเก็บตกแบบเศร้านิดๆ สยองหน่อยๆ เกี่ยวกับที่มาของ “นักบุญแห่งความรัก”

ตำนานเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์หรือ เซนต์วาเลนไทน์ เกิดขึ้นในสมัยจักรพรรดิเคลาดิอุสที่ 2 ผู้ปกครองอาณาจักรโรมัน ซึ่งอยากขยายอาณาจักรโรมันทำให้ต้องกวาดต้อนชายฉกรรจ์มาเป็นทหารจำนวนมาก แต่ในขณะนั้น บ้านเมืองสงบสุข ครอบครัวไม่มีใครอยากให้พ่อ หรือลูกชายต้องไปสงคราม การหลบหนีหมายเรียกจึงเกิดขึ้น

เมื่อเคลาดิอุสที่ 2 ทราบเรื่องการหนีทหาร ก็โกรธเป็นอย่างยิ่ง และ พาลคิดไปว่าที่เหล่าชายหนุ่มไม่ยอมมาเป็นทหารเพื่อขยายอำนาจแห่งโรมนั้นเป็นเพราะชายหนุ่มเหล่านั้นติดลูก ติดเมีย จึงมีคำสั่ง ไม่ให้มีพิธีแต่งงาน และ พิธีหมั้นหมาย ซึ่งก็เหมือนกับห้ามไม่ให้หนุ่มสาวมีความรักต่อกัน อันเป็นการฝืนธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง

คำสั่งห้ามมีพิธีแต่งงานและหมั้นหมายของจักรพรรดิ์ เคลาดิอุส สร้างความอึดอัดให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง แม้จะมีคนไม่เห็นด้วยแต่พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงออก เพราะกลัวจะถูกลงโทษง

หากแต่มีนักบวชคนหนึ่งมีชื่อว่า “วาเลนไทน์” กล้าที่จะฝ่าฝืนคำสั่งองค์จักรพรรดิ์ ท่านได้ประกอบพิธีแต่งงานให้กับหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความรัก แม้รู้ดีว่าการประกอบพิธีของตนเองนั้นกำลังจะนำมาซึ่งมรณกรรมของตนเองในไม่ช้า

ไม่นานก็มีคำสั่งให้ทหารจับกุมตัวนักบวชวาเลนไทน์มาคุมขัง และ ตัดคอเสียในวันที่ 14 กุมภาพันธ์

นักบวชวาเลนไทน์ ก็ยังคงมอบความรักให้กับผู้อื่น ช่วงอยู่ในคุกรอการประหาร รวมไปถึงลูกสาวของผู้คุมที่นับเป็นมิตรสหายอีกคนหนึ่งที่นักบวชวาเลนไทน์ช่วยเอาไว้ และเมื่อถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันประหาร นักบวชวาเลนไทน์ได้ส่งจดหมายอำลาไปยังลูกสาวของผู้คุมโดยลงชื่อไว้ท้ายจดหมายว่า “จากวาเลนไทน์ของคุณ”

ด้วยการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของนักบวช วาเลนไทน์ ทำให้เขาได้รับการขนานนามเป็นนักบุญ หรือ เซนต์ หลังจากที่ถูกประหารชีวิต

ปัจจุบัน ศีรษะที่ถูกตัดของเซนต์วาเลนไทน์ ถูกรักษาไว้ที่ วิหาร Basilica di Santa Maria กรุงโรม ประเทศอิตาลี