นี่อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายระหว่างอดีตเจ้าชายแฮรี่ผู้สละฐานันดรและชายา “เมแกน” ที่ออกรายการทอล์กโชว์อันดับต้นของโลก โดยเปิดใจกับ ‘โอปราห์ วินฟรีย์’ แต่งานนี้อย่าเรียกว่า “เปิดใจ” เรียกว่า “แฉ” จะถูกกว่า เพราะขณะนี้ “เสด็จปู่” หรือเจ้าชายฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระ สวามีในสมเด็จพระราชนีนาถ พระชนมายุ 99 ชันษา ประชวรอยู่ที่โรงพยาบาล ในขณะที่ควีนก็จำต้องห่างจากพระสวามีนานกว่า15วันแล้วตามกฎของการรักษาความปลอดภัยจากโรคโควิด โดยเมแกนแฉยับชนิดงานนี้น่าจะต่อกันไม่ติดอีกต่อไป

สถานีโทรทัศน์ CBS ของสหรัฐฯ เผยแพร่บทสัมภาษณ์พิเศษเจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และพระชายา เมแกน ทรงเปิดใจกับพิธีกรดัง ‘โอปราห์ วินฟรีย์’ เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ภายในราชวงศ์อังกฤษซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ตัดสินพระทัยลดบทบาทและย้ายมาประทับในสหรัฐอเมริกา โดยเจ้าชายได้ตรัสถึง “การไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจ” จากคนในราชวงศ์เท่าที่ควร ขณะที่ดัชเชสเมแกนเผยประสบการณ์ถูกเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งทำให้ตัวเธอเองเคยคิด “ฆ่าตัวตาย” มาแล้ว
.
บทสัมภาษณ์ซึ่งออกอากาศในช่วงเวลาไพรม์ไทม์และเป็นที่จับตามองมากที่สุดครั้งหนึ่ง คาดว่าจะทำให้รอยร้าวระหว่าง เมแกน-แฮร์รี กับสมาชิกราชวงศ์อังกฤษยิ่งยากที่จะประสานมากขึ้นไปอีก
.
เจ้าชายแฮร์รีและพระชายายุติการปฏิบัติพระกรณียกิจในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเมื่อต้นปีที่แล้ว ก่อนจะย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหรัฐฯ โดยตอนนั้นทรงให้เหตุผลว่าต้องการประกอบอาชีพเยี่ยงประชาชนทั่วไปเพื่อจะได้มี “อิสรภาพทางการเงิน”
.
ดัชเชสเมแกนเปิดใจกับ วินฟรีย์ ว่า คนในราชวงศ์อังกฤษมีความกังวลเรื่อง “สีผิว” ของพระโอรส “อาร์ชี” (Archie) ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด และนั่นคือสิ่งที่อธิบายว่าทำไมพระโอรสน้อยจึงไม่ได้รับการสถาปนาเป็น “เจ้าชาย”

เมแกน ซึ่งมีมารดาเป็นชาวอเมริกันผิวสีและบิดาเป็นคนผิวขาว ยอมรับว่าตัวเธอเองยังคง “ไร้เดียงสา” และแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตเจ้าตอนที่เข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายแฮร์รีเมื่อปี 2018 แต่สิ่งต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามาหลังจากนั้นทำให้เธอเป็นทุกข์หนักถึงขั้นคิดทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตาย หลังจากที่พยายามขอความช่วยเหลือแต่ไม่เคยได้รับมัน

“พวกเขาไม่ต้องการให้ (อาร์ชี) ได้เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง…ตอนนั้นยังไม่รู้เพศ… ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากธรรมเนียมปฏิบัติ และเขาก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยใดๆ ด้วย” เมแกน ระบุ

“ในขณะที่ฉันกำลังตั้งครรภ์อยู่ เราก็ได้รับการบอกกล่าวว่า ‘ลูกของเธอจะไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ และไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย’ นอกจากนั้นก็ยังมีบางคนที่เป็นห่วง และพูดจาซุบซิบกันว่า เขาจะเกิดมามีผิวคล้ำหรือไม่”

เมแกน ปฏิเสธที่จะเอ่ยชื่อบุคคลที่แสดงท่าทีเหยียดผิวลูกของเธอ และเมื่อ วินฟรีย์ ยิงคำถามเด็ดว่า “คุณเลือกที่จะเงียบเอง หรือถูกทำให้เงียบ” เมแกน ก็ตอบว่า “อย่างหลัง”

ทางด้านเจ้าชายแฮร์รีทรงระบุว่า ที่ตัดสินใจทิ้งชีวิตเจ้าก็เพราะ “ไม่ได้รับความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ” จากญาติๆ และทรงเกรงว่า “ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย” เหมือนตอนที่พระมารดา เจ้าหญิงไดอาน่า สิ้นพระชนม์ในอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปี 1997

ดยุคแห่งซัสเซกซ์ทรงย้ำว่า “ยังเคารพรัก” สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เหมือนเดิม แต่ในส่วนของเจ้าฟ้าชายชาร์ลสนั้นทรงปฏิเสธที่จะรับโทรศัพท์จากพระองค์มาสักระยะหนึ่งแล้ว
.
“ผมได้คุยกับสมเด็จย่า 3 ครั้ง คุยกับพ่อ 2 ครั้ง ก่อนที่พระองค์ (เจ้าฟ้าชาร์ลส) จะหยุดรับโทรศัพท์จากผม จากนั้นพระองค์ก็บอกว่า ช่วยเขียนมาแทนได้ไหม?” เจ้าชายแฮร์รีตรัส

วินฟรีย์ ถามเจ้าชายแฮร์รีว่า หากไม่ใช่เพราะ เมแกน พระองค์จะเลือกทิ้งราชวงศ์อังกฤษหรือไม่ ซึ่งเจ้าชายก็ตอบว่า “ไม่… ผมคงทำไม่ได้หรอก เพราะตัวผมเองก็ติดกับดักนั้นอยู่ ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ในครอบครัว พ่อผมและพี่ชายผม ทุกคนไปไหนไม่ได้ และผมเองก็รู้สึกเห็นใจพวกเขาในจุดนี้”

“สิ่งที่แตกต่างสำหรับผมก็คือประเด็นเรื่องเชื้อชาติ เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเธอ (เมแกน) แต่มันยังเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอเป็นตัวแทน”

“ส่วนที่น่าเสียใจที่สุดน่าจะเป็นตอนที่สมาชิกรัฐสภากว่า 70 คน ทั้งชายและหญิง ออกมาวิจารณ์สื่อที่เผยแพร่บทความและพาดหัวข่าวเกี่ยวกับ เมแกน ด้วยคำพูดที่สะท้อนความคิดในยุคล่าอาณานิคม แต่กลับไม่มีใครสักคนในครอบครัวผมออกมาพูดเรื่องนี้ตลอด 3 ปี”

“มันเจ็บปวด แต่ผมก็เข้าใจจุดยืนของครอบครัว ผมรู้ว่าพวกเขาเองก็กลัวจะโดนสื่อแทบล็อยด์เล่นงานเหมือนกัน”
.
ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์มองว่า เจ้าชายแฮร์รีและพระชายาเรียกร้องชื่อเสียงและอภิสิทธิ์ต่างๆ จากการเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่กลับปฏิเสธที่จะอุทิศตนเองและไม่ยอมถูกสื่อจับตามอง ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนชี้ว่าสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์เผชิญอยู่นั้นสะท้อนถึงความล้าหลังของสถาบันกษัตริย์อังกฤษที่ยังมีแนวคิดเหยียดผิวต่อผู้หญิงยุคใหม่ที่มีเลือดผสมอย่าง เมแกน
.
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์เดอะไทม์สของอังกฤษได้ตีแผ่เรื่องที่ เมแกน ถูกกล่าวหาว่า “บูลลี่” อดีตข้าราชบริพารในวังเคนซิงตัน ซึ่งทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมก็ออกมาแถลงว่า “มีความกังวลอย่างยิ่ง” และจะดำเนินสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ขณะที่โฆษกของดัชเชสระบุว่าเธอ “เสียใจกับคำกล่าวหาที่ได้รับล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวเธอเองก็ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่เรื่อยมา”

เมแกน บอกกับพิธีกรหญิงชื่อดังว่า คนในราชวงศ์อังกฤษไม่เพียงไม่ปกป้องเธอจากการถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่ยังเลือกที่จะ “โกหก” เพื่อปกป้องคนอื่นด้วย

“หลังจากที่เราเข้าพิธีแต่งงาน ทุกอย่างก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายฉันก็เข้าใจว่า นอกจากฉันจะไม่ได้รับการปกป้องแล้ว พวกเขายังเต็มใจที่จะโกหกเพื่อปกป้องสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ด้วย”

“ด้านหนึ่งคือครอบครัว แต่อีกด้านหนึ่งก็คือกลุ่มคนที่บริหารจัดการสถาบันนี้อยู่ สองสิ่งนี้เป็นคนละอย่างกัน และเราจำเป็นที่จะต้องแยกแยะ เนื่องจากสมเด็จพระราชินีนาถก็ทรงเป็นคนหนึ่งที่ดีต่อฉันเสมอ”

เมแกนยังปฏิเสธเรื่องที่สื่อเอาไปรายงานว่า เธอเคยทำให้ “เคต” พระชายาของเจ้าชายวิลเลียม ร้องไห้ในช่วงก่อนพิธีเสกสมรส และนั่นคือ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้สื่ออังกฤษหันมาเล่นงานเธอ

“นั่นล่ะคือจุดเปลี่ยน” เมแกน กล่าว และเมื่อ วินฟรีย์ ถามว่าเธอทำให้เคตร้องไห้จริงหรือไม่ เมแกน ก็ตอบว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้าม”

“ช่วง 2-3 วันก่อนพิธีแต่งงาน เธอ (เคต) อารมณ์เสียเกี่ยวกับ…ชุดของเด็กผู้หญิงที่ถือช่อดอกไม้ และนั่นทำให้ฉันน้ำตาตกเลย ฉันเสียใจกับเรื่องนี้มาก และฉันคิดว่าในบริบทของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนวันแต่งงาน มันไม่เมกเซนส์เลยที่ (เธอ) ไม่กระทำเหมือนคนอื่นๆ ที่ต่างก็พยายามช่วยเหลือทุกอย่าง เพราะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับพ่อ (โทมัส มาร์เคิล)”

เมแกน ระบุด้วยว่า ก่อนแต่งงานเธอยังไร้เดียงสา และไม่ได้ตระหนักเลยว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างหลังจากที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์อังกฤษ

“ฉันเข้ามาอย่างคนที่ไร้เดียงสา เพราะฉันเติบโตมาโดยที่ไม่ได้รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษ”

เมแกน ยืนยันว่าเธอ “ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง” แม้แต่เซนต์เดียวจากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้